ทำความรู้จัก #ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า AC กับ DC ต่างกันอย่างไร?
ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า AC เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับเข้าสู่ On Board Charger เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรง จึงทำให้มีกระบวนการที่นานกว่า ต่างจากหัวชาร์จรถไฟฟ้า DC ที่สามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตได้โดยตรง จึงทำให้ใช้เวลาที่น้อยกว่านั่นเอง
ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของการใช้งานรถไฟฟ้า เปรียบเสมือนปั๊มน้ำมันสำหรับรถยนต์ทั่วไป บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับระบบการชาร์จรถไฟฟ้าให้มากขึ้น
1. ประเภทของระบบการชาร์จรถไฟฟ้า
ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1.1 ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า AC (Alternating Current)
- ไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านทั่วไป
- ชาร์จไฟผ่าน Wallbox หรือ ที่ชาร์จไฟ AC ทั่วไป
- กระบวนการชาร์จ: ไฟ AC จาก Wallbox จะผ่าน On-Board Charger ในตัวรถ แปลงไฟเป็น DC ก่อนส่งเข้าแบตเตอรี่
- ใช้เวลานานกว่าการชาร์จแบบ DC
- เหมาะสำหรับการชาร์จไฟประจำวัน ชาร์จไว้ตอนกลางคืน
ข้อดี:
- ราคาเครื่องชาร์จถูกกว่า
- หาซื้อและติดตั้งได้ง่าย
- รองรับรถไฟฟ้าทุกรุ่น
ข้อเสีย:
- ชาร์จไฟช้า
- ใช้เวลาในการชาร์จนาน
1.2 ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า DC (Direct Current)
- ไฟฟ้ากระแสตรง เป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้ในสถานีชาร์จไฟฟ้า
- ชาร์จไฟผ่าน หัวชาร์จ DC ที่สถานีชาร์จ
- กระบวนการชาร์จ: ไฟ DC จากสถานีชาร์จจะส่งตรงเข้าแบตเตอรี่โดยไม่ต้องผ่าน On-Board Charger
- ชาร์จไฟเร็วกว่าการชาร์จแบบ AC
- เหมาะสำหรับการชาร์จไฟระหว่างเดินทาง ต้องการความรวดเร็ว
ข้อดี:
- ชาร์จไฟเร็ว
- ใช้เวลาในการชาร์จน้อย
ข้อเสีย:
- ราคาเครื่องชาร์จแพงกว่า
- หาสถานีชาร์จได้ยาก
- รองรับเฉพาะรถไฟฟ้าบางรุ่น
2. ระดับความเร็วในการชาร์จ
ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า แบ่งตามระดับความเร็ว ดังนี้
2.1 ระดับ Level 1 (ช้า)
- ชาร์จไฟผ่านปลั๊กไฟบ้านทั่วไป
- เหมาะสำหรับการชาร์จไฟประจำวัน ชาร์จไว้ตอนกลางคืน
- ใช้เวลาในการชาร์จเต็ม 8-12 ชั่วโมง
2.2 ระดับ Level 2 (ปานกลาง)
- ชาร์จไฟผ่าน Wallbox หรือที่ชาร์จไฟ AC ทั่วไป
- เหมาะสำหรับการชาร์จไฟประจำวัน ชาร์จไว้ตอนกลางคืน
- ใช้เวลาในการชาร์จเต็ม 4-6 ชั่วโมง
2.3 ระดับ Level 3 (เร็ว)
- ชาร์จไฟผ่านสถานีชาร์จไฟฟ้า
- เหมาะสำหรับการชาร์จไฟระหว่างเดินทาง ต้องการความรวดเร็ว
- ใช้เวลาในการชาร์จเต็ม 30 นาที – 1 ชั่วโมง
3. สถานที่ชาร์จ
- ชาร์จที่บ้าน: ติดตั้ง Wallbox หรือที่ชาร์จไฟ AC
- ชาร์จที่ห้างสรรพสินค้า: ส่วนใหญ่มีสถานีชาร์จไฟฟ้า Level 2
- ชาร์จที่สถานีบริการน้ำมัน: บางแห่งมีสถานีชาร์จไฟฟ้า Level 2 หรือ Level 3
- ชาร์จตามจุดจอดรถสาธารณะ: บางแห่งมีสถานีชาร์จไฟฟ้า Level 2
4. ค่าใช้จ่าย
- ชาร์จที่บ้าน: ขึ้นอยู่กับค่าไฟฟ้าหน่วยละบาท
- ชาร์จที่ห้างสรรพสินค้า: ฟรี หรือ คิดค่าบริการตามระยะเวลา
- ชาร์จที่สถานีบริการน้ำมัน: ขึ้นอยู่กับสถานีบริการน้ำมันแต่ละแห่ง
- ชาร์จตามจุดจอดรถสาธารณะ: ฟรี หรือ คิดค่าบริการตามระยะเวลา
5. อนาคตของระบบการชาร์จ
- เทคโนโลยีการชาร์จไฟจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ชาร์จไฟเร็วขึ้น ใช้เวลาชาร์จน้อยลง
- สถานีชาร์จไฟ
รถไฟฟ้า: อนาคตของยานยนต์
รถไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของยานยนต์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ด้วยข้อดีมากมาย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับรถไฟฟ้าให้มากขึ้น
1. ประเภทของรถไฟฟ้า
รถไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
- BEV (Battery Electric Vehicle) : ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ไม่ปล่อยมลพิษทางอากาศ
- PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) : ใช้ทั้งพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่และน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจในการใช้งาน
2. ข้อดีของรถไฟฟ้า
- รักษาสิ่งแวดล้อม: ไม่ปล่อยมลพิษทางอากาศ ช่วยลดโลกร้อน
- ประหยัดพลังงาน: ค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟถูกกว่าราคาน้ำมัน
- เงียบ: มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเงียบกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน
- เทคโนโลยีล้ำสมัย: รถไฟฟ้าส่วนใหญ่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบขับขี่อัตโนมัติ ระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย
- ประหยัดค่าบำรุงรักษา: มอเตอร์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลน้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน
3. อนาคตของรถไฟฟ้า
ตลาดรถไฟฟ้ามีการเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่าในอนาคต รถไฟฟ้าจะกลายเป็นยานยนต์หลักที่ใช้แทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของรถไฟฟ้า
- เทคโนโลยีแบตเตอรี่: เทคโนโลยีแบตเตอรี่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แบตเตอรี่มีราคาถูกลง เก็บพลังงานได้มากขึ้น และชาร์จไฟได้เร็วขึ้น
- โครงสร้างพื้นฐาน: สถานีชาร์จไฟฟ้ามีการกระจายตัวมากขึ้น
- นโยบายของภาครัฐ: หลายประเทศมีนโยบายสนับสนุนการใช้รถไฟฟ้า เช่น การลดภาษี การให้เงินอุดหนุน
4. ความท้าทายของรถไฟฟ้า
- ราคา: รถไฟฟ้ายังมีราคาค่อนข้างสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
- ระยะทางวิ่ง: ระยะทางวิ่งของรถไฟฟ้ายังจำกัดเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
- โครงสร้างพื้นฐาน: สถานีชาร์จไฟฟ้ายังมีจำนวนไม่เพียงพอ
5. สรุป
รถไฟฟ้าคือยานยนต์แห่งอนาคต ที่มาพร้อมข้อดีมากมาย แม้จะมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้รถไฟฟ้ากลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้บริโภคในอนาคต
ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า AC กับ DC ต่างกันอย่างไร?
ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า มี 2 ประเภทหลักๆ คือ AC และ DC แต่ละระบบมีความแตกต่างกันทั้งวิธีการชาร์จ ระยะเวลา และสถานที่ใช้งาน
1. ระบบการชาร์จ AC (Alternating Current)
- ไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านทั่วไป
- ชาร์จไฟผ่าน Wallbox หรือ ที่ชาร์จไฟ AC ทั่วไป
- กระบวนการชาร์จ: ไฟ AC จาก Wallbox จะผ่าน On-Board Charger ในตัวรถ แปลงไฟเป็น DC ก่อนส่งเข้าแบตเตอรี่
- ใช้เวลานานกว่าการชาร์จแบบ DC
- เหมาะสำหรับการชาร์จไฟประจำวัน ชาร์จไว้ตอนกลางคืน
ข้อดี:
- ราคาเครื่องชาร์จถูกกว่า
- หาซื้อและติดตั้งได้ง่าย
- รองรับรถไฟฟ้าทุกรุ่น
ข้อเสีย:
- ชาร์จไฟช้า
- ใช้เวลาในการชาร์จนาน
2. ระบบการชาร์จ DC (Direct Current)
- ไฟฟ้ากระแสตรง เป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้ในสถานีชาร์จไฟฟ้า
- ชาร์จไฟผ่าน หัวชาร์จ DC ที่สถานีชาร์จ
- กระบวนการชาร์จ: ไฟ DC จากสถานีชาร์จจะส่งตรงเข้าแบตเตอรี่โดยไม่ต้องผ่าน On-Board Charger
- ชาร์จไฟเร็วกว่าการชาร์จแบบ AC
- เหมาะสำหรับการชาร์จไฟระหว่างเดินทาง ต้องการความรวดเร็ว
ข้อดี:
- ชาร์จไฟเร็ว
- ใช้เวลาในการชาร์จน้อย
ข้อเสีย:
- ราคาเครื่องชาร์จแพงกว่า
- หาสถานีชาร์จได้ยาก
- รองรับเฉพาะรถไฟฟ้าบางรุ่น
สรุป
ระบบการชาร์จ AC เหมาะสำหรับการชาร์จไฟประจำวัน ชาร์จไว้ตอนกลางคืน ราคาเครื่องชาร์จถูก หาซื้อและติดตั้งได้ง่าย รองรับรถไฟฟ้าทุกรุ่น
ระบบการชาร์จ DC เหมาะสำหรับการชาร์จไฟระหว่างเดินทาง ต้องการความรวดเร็ว ชาร์จไฟเร็ว ใช้เวลาในการชาร์จน้อย แต่ราคาเครื่องชาร์จแพงกว่า หาสถานีชาร์จได้ยาก รองรับเฉพาะรถไฟฟ้าบางรุ่น
ปัจจัยที่ควรพิจารณา
- พฤติกรรมการใช้งาน:
- ชาร์จไฟที่บ้านเป็นประจำ เลือก AC
- ต้องการชาร์จไฟระหว่างเดินทาง เลือก DC
- งบประมาณ:
- AC ราคาถูกกว่า
- DC ราคาแพงกว่า
- รุ่นรถไฟฟ้า:
- ตรวจสอบว่ารถไฟฟ้าของคุณรองรับระบบการชาร์จแบบใด
การเลือก ระบบการชาร์จรถไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมการใช้งาน งบประมาณ และ รุ่นรถไฟฟ้า ของผู้ใช้ ควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจ